วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

นักรบไทย จอมพล ป.พิบูลสงคราม




นาย แปลก ขีตตะสังคะ หรือที่เรียกกันไปทั่วว่า "จอมพล ป. พิบูลสงคราม” เป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งได้ยาวนานที่สุดของประเทศไทย คือ ๑๔ปี ๑๑เดือน และ๑๘วัน นโยบายหลักของท่านคือการพัฒนาประเทศชาติให้เป็นอารยประเทศ และสร้างปนะเทศไทยให้เจริญเติบโตเหมือนประเทศต่างๆนานา เช่น อังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศที่ครอบครองหลากหลายประเทศในยุคนั้น ท่านได้สร้างวัฒนธรรมให้ชาติอย่างมาก เช่น ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย การรำวง การตั้งมาตรฐานใหม่สำหรับการดำรงชีวิตในประเทศ และเป็นผู้เปลี่ยนชื่อ สยาม เป็นประเทศไทยในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.. ๒๔๘๒ รวมไปถึงเพลงชาติที่ประเทศได้ใช้อยู่ในปัจจุบัน คำควัญที่คนไทยได้รู้จักกันดีจากวีรบุรุษท่านนี้คือ "เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย"

อาชีพการเป็นทหารของ จอมพล ป. ได้เริ่มเมื่อเขาได้เข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยทหารบก และสำเร็จการศึกษาในปี พ.. ๒๔๕๙ ขณะท่านอายุ๑๙ ปี ท่านได้รับยศร้อยตรีและได้ไปประจำการอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก หลังจากที่ได้ไปประจำอยู่ที่นั่นไม่นาน ท่านได้สอบเข้าโรงเรียนเสนาธิการและได้เป็นที่หนึ่ง จากนั่นท่านได้เดินทางไปประเทศฝรั่งเศสเพื่อไปศึกษาต่อที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบกจนได้รับยศพันตรี และได้กลับมาที่กรุงสยามเพื่อรับราชการต่อ เมื่อวันที่๒๔ มิถุนายน พ.. ๒๔๗๕ มีผู้ใหญ่ได้ราชทินนามท่าน "หลวงพิบูลสงคราม" ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี พัน ตรี หลวงพิบูลสงครามได้เป็นส่วนร่วมของขณะราษ ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยเป็นกระดูกสันหลังของกองทัพบก ซึ่งได้มีบทบาทอันสูงสุดในการนำความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในช่วงเวลานั้น ไม่นานหลังจากที่พัน ตรี พิบูลสงครามได้แสดงฝีมือการจัดการปัญหาบ้านเมือง ท่านได้เลื่อนยศเป็นพันเอก และได้เป็นผู้บัญชาการทหารบก เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.. ๒๔๘๑ ท่านได้ถูกแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และท่านได้เลื่อนยศเป็นพลตรีระหว่างที่อยู่ในตำแหน่งนั้น เมื่อท่านได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เพียง๒ปี ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพลตรีหลวงพิบูลสงคราม เป็นจอมพล แปลก พิบูลสงคราม

หลากหลายคนมักสงสัยว่าทำไมท่านถึงมีนามว่า แปลก ความจริงคือ จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นบุคคลที่มีหูทั้งสองข้างต่ำกว่าระดับตา ซึ่งเป็นจุดที่แตกต่างจากคนทั่วไป คนจึงตั้งชื่อท่านว่าแปลก เนื่องจากว่าท่านได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญและได้เป็นภาพพจน์ของประเทศ ท่านจึงใช้ตัวอักษรย่อเป็น ป. จอมพล ป. ได้มีบทบาทสำคัญอย่างมากมายก่อนที่ท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรี เช่นในปี พ.. ๒๔๗๕ ท่านได้เป็นนายทหารที่มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยเป็นรุ่นน้องของ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ซึ่งเป็นคนที่ถูกแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนจอมพล ป. พิบูลสงคราม นอกจากนี้แล้ว ท่านได้มีส่วนร่วมในการปราบปรามกบฎบวรเดชในปี พ.. ๒๔๗๖ หลังจากที่จอมพล ป. ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่านได้ออกนโยบายในการสร้างชาติแบบใหม่ โดยส่งเสริมให้ชาติเป็นประเทศที่ยกย่องลัทธินิยม ท่านได้เริ่มลงมือโดยออกกฎหมายคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งเป็นการขับไล่นักลงทุนต่างชาติที่ได้สร้างอิธิพลให้ตนเองในประเทศไทย ท่านได้ปกป้องอาชีพไว้บางอย่างไว้เฉพาะคนไทยเพื่อเป็นการส่งเสริมแรงงานไทยและเป็นการเปิดโอกาศให้คนในประเทศได้ประกอบอาชีพที่ดีให้ได้มาตรฐานสากล สิ่งที่คนไทยชื่นชมท่านมากที่สุดคือการนิยมใช้สินค้าไทยท่านเคยกล่าวคำควัญว่า "ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ"

นอกจากการฟื้นฟูเศรษฐกิจทั่วประเทศ จอมพล ป.พิบูลสงครามได้มีบทบาทที่สำคัญในการสร้างวัฒนธรรมและประเพณีประเทศ เหตุผลที่ท่านต้องเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมบางอย่าง ทำเพื่อให้สังคมสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองและให้อยู่ในมาตรฐานสากล ท่านเริ่มโดยเปลี่ยนแปลงการแต่งตัวของคนที่รับราชการ จากการนุ่งผ้าม่วงหรือผ้าราชปะแตน ท่านให้ทุกคนหันมานุ่งกางเกงขายาวแทน ท่านได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทษจาก สยาม เป็น ไทย ในปี พ.. ๒๔๘๒ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงวันปีใหม่ให้เป็น ๑ มกราคม แทนวันที่เดิม ๑ เมษายน ปี พ.. ๒๔๘๓ จึงมีเพียง ๙ เดือน ในปี พ.. ๒๔๘๕ ท่านได้จัดระเบียบใหม่ในการดำเนินชีวิตของคนไทยให้เป็นอารยประเทศ เช่น ท่านสั่งให้ประชาชนเลิกกินหมาก ให้ผู้หญิงสวมหมวกนุ่งโจงกระเบนและ สวมรองเท้า ไม่นานหลังจากนั้น มีกฎหมายออกมาใหม่ให้ทุกคนที่รับราชการมีการทักทายกันโดยพูดว่า "สวัสดี" ทุกกฎหมายถูกใช้อย่างเข้มงวด และหากใครไม่เคารบกฎหมายใหม่ บุคคลเหล่านั้นจะโดนเรียกไปตักเตือนเสียค่าปรับ หรืออาจจำคุก ขึ้นอยู่กับระดับของการกระทำ

ในช่วงปีแรกๆที่จอมพล ป. ได้ถูกแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เกิดสงครามอินโดจีนมนปี พ.. ๒๔๘๓ โดยฝรั่งเศสไม่ยอมตกลงในการแบ่งเขตโดยใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างไทยกับอินโดจีน เนื่องจากว่าการเจรจานั่นไม่สำเร็จ ฝรั่งเศสได้ทิ้งระเบิดในนเมืองนครพนม และนั้นเป็นจุดเริ่มของสงครามระหว่างไทยกับอินโดจีนและฝรั่งเศส จอมพล ป. ได้ส่งกองกำลังทหารไปในอินโดจีนเพื่อปกป้องเขตที่ฝรั่งเศสได้รุกล้ำเข้ามาจนญี่ปุ่นได้เสนอการยุติการต่อสู้ สงครามจบด้วยการส่งผู้แทนแต่ละประเทศไปลงนามที่กรุ่งโตเกียวเพื่อยอมรับให้ไทยได้ดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงคืน รวมไปถึงแขวงจัมปาศักดิ์และดินแดนในเขมรที่เสียให้ฝรั่งเศสในปี พ.. ๒๔๕๐ ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนาได้เป็นผู้วางศิลาฤกษ์ก่อสร้าง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อเป็นอนุารณ์ของชัยชนะไทยต่อฝรั่งเศส และภายในหนึ่งปีต่อมา จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นผู้ทำพิธีเปิด นอกจากความสำเร็จครั้งนี้แล้ว ท่านได้ เริ่มองค์กรและหน่วยงานสำคัญของประเทศอีกมากมาย ที่สามารถช่วยพัฒนาการก่ออาชีพในประเทศจนยุคปัจจุบัน เช่นการเปิด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ และ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นต้น


จอมพล ป. พิบูลสงครามได้รับหน้าที่เป็นผู้นำของประเทศในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หน้าที่และเป้าหมายของท่านคือการประคับประคองประเทศให้พ้นสงครามโดยการหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับประเทศอื่นๆ และพยายามสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในยุคที่ญี่ปุ่นกวาดล้างเอเซีย อย่างไรก็ตาม หลังสงครามโลก จอมพล ป.พิบูลสงครามต้องติดคุกในฐานะอาชญากรสงคราม และท่านต้องถูกปลดจากการรับราชการ หลังจากได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดโดยทำไร่ถั่วฝักยาวเป็นระยะเวลาหนึ่ง ท่านได้กลับมาอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนครีของประเทศไทย โดยมีการทำรัฐประหารโดยกลุ่มคนที่นับถือและยังเชื่อมั่นในการปกครองของท่าน ท่านได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปอีก๙ปี โดยผ่ายวิกฤษต่างๆที่เหลือเชื่อ ในระยะเวลาที่ท่านกลับมาสู่ตำแหน่งนี้ มีกลุ่มกบฎมากมายพยายามลอบสังหารท่าน แต่ท่านรอดมาได้ทุกครั้ง เช่นกบฎแมนฮัตตัน ตอนที่ท่านถูกจี้บนเรือรบศรีอยุธยา และ ตอนถูกทิ้งระเบิดในห้องนอนท่าน ความโชคดีของท่านทำให้ประชาชนลือกันว่าท่านเป็น "จอมพลกระดูกเหล็ก"

เมื่อเย็นวันที่ ๑๕ กันยายน พ.. ๒๕๐๐ จอมพล ป. ถูกลูกน้องท่าน พลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หักหลัง ซึ่งท่านได้เป็นลูกน้องที่ จอมพล ป. ได้ไว้วางใจไว้อย่างยิ่ง และเป็นนายทหารที่ใกล้ชิดท่านมาก จนกระทั่งมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกให้ พลเอก สฤษดฺ์ได้ทำรัฐประหารในเมืองอย่างกระทันหัน และได้ประกาศทั่ววิทยุเพื่อตามล่า จอมพล ป. ด้วยความโชคดี ท่านได้หนีไปด้วยรถยนต์ส่วนตัวกับลูกน้องเพียงสองคน และสามารถหนีข้ามไปประเทศกัมพูชาได้สำเร็จ ในวาระสุดท้ายของชีวิตท่าน ท่านได้หนีไปอยู่ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากว่าท่านได้ช่วยเหลือญี่ปุ่นโดยให้ญี่ปุ่นเข้าผ่านประเทศในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยไม่ต้องมีการสู้รบเสียเลือดเสียเนื้อไปอย่างไร้ประโยชน์ ท่านจึงได้รับการต้อนรับอย่างดีจากประชาชนญี่ปุ่น รวมไปถึงรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงครามได้ลี้ภัยทางการเมืองจนท่านได้ถึงแก่กรรมวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.. ๒๕๐๗







วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

โหมโรง (The Interlude)

ภาพยนคร์เรื่องโหมโรง เป็นภาพยนตร์ที่ปลุกจิตสำนึกความเป็นไทย ที่คุณอิธิสุนทร วิชัยลักษณ์ ได้กำกับจากเค้าโครงของประวัติหลวงประดิษฐไพเราะ เนื้อเรื่องได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของวัฒนธรรม โดยสื่อให้เห็นถึง'ราก'เล๊กๆของประเทศเช่นดนตรี ที่สามารถนำความสามัคีและความปรองดองระหว่างคนไทยกันเองได้ การเรียบเรียงของภาพยนตร์เต็มไปด้วยการย้อนไปย้อนมาข้ามเวลาของชีวิต 'นายศร' ตัวละครหลัก ซึ่งเป็นนักเล่นระนาดเอกที่ต่อสู้กับนักดนตรีมามากมายในยุคเขา และยังสู้จนสิ้นลมหายใจเพื่ออนุรักษ์ดนตรีไทย วิธีการประสมประสานเนื้อเรื่องทำให้ผู้ชมทุกคนที่ดูมีความประทับใจในวีรบุรุษของประเทศชาติ

ภาพยนตร์ทุกเรื่องมักใช้ดนตรีหรือเพลงต่างๆนานาในการสร้างบรรยากาศ เนื่องจากว่า 'โหมโรง' นั้นเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับดนตรี ทุกๆเพลงที่ถูกใช้มีคุณสมบัติในด้านวัฒนธรรม และสะท้อนให้เห็นถึงความไพเราะความดุดันและความแข็งแกร่งของสังคมในยุคอดีต ที่ไม่ได้นำความคิดของชาวต่างชาติมาเป็นจุดตั้งจุดยืนของอาณาจักร นอกจากการใช้ดนตรีในการย้อนยุค ผู้กำกับได้ใช้ให้เป็นอุปมาสำคัญ ตอนที่ลูกของนายศรได้นำเปียโนเข้ามาในบ้าน นายศรได้เล่นเพลง ลาวดวงเดือน พร้อมลูกด้วยเปียโนกับระนาด เพื่อให้สะท้อนถึงสองวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่สามารถอยู่ด้วยกันได้ เพลงบางเพลงในภาพยนตร์ได้ช่วยทำให้เห็นการย้อนไปย้อนมาของเวลาอย่างชัดเจน เวลาเนื้อเรื่องได้กลับมาที่ยุคปัจจุบันของนายศร เพลงและดนครีต่างๆที่ได้ยินมักมาจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงหรือวงดนตรีที่เต็มไปด้วยดนตรีสากล เช่น แชกโชโฟนหรือเปียโน จากที่เห็นในภาพยนตร์จากต้นจนถึงตอนจบ ดนตรีทุกชิ้นเป็นคุณสมบัติหลักของกาลเวลาของวัฒนธรรม และแสดงให้เห็นถึงความนิยมของดนตรีไทยที่ค่อยๆจางหายไปจากสังคม

อีกองค์ประกอบในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ทำให้ผู้ชมทึ่ง คือการใช้สัญลักษณ์มาผสมผสานกับแก่นหลักของภาพยนตร์ เช่นสงครามหรือการต่อสู้ระหว่างนายศรกับขุนอินในการแข่งประกวด สงครามนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ค้นหาความเป็นอารยะทัดเทียมกับชาติอื่น แต่การที่คนเราดูถูก'รากเหง้า' ของประเทศตนเอง จะไม่สามารถทำให้ประเทศใดก็ตามในโลกนี้ สามารถก้าวหน้าได้ เช่นเดียวกับตอนนายศรได้พยายามเปลี่ยนแผนเดิมของการเล่นระนาดให้มาเป็นอะไรแปลกใหม่ ทำให้คนไม่พอใจกับดนตรีเขาเพราะมันเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม จุดสำคัญในภาพยนตร์คือในยุคที่ไทยกำลังโดนญี่ปุ่นบุกรุก นายศรหรือ'ท่านครู'ได้ต่อว่าท่านผู้พันว่า "ไม้ใหญ่จะยืนทระนงต้านแรงช้างสารอยู่ได้ ก็ด้วยรากที่หยั่งลึกและแข็งแรง" วัฒนธรรมคือสิ่งที่สำคัญ และสงครามคือผลสรุปของการลบล้างมัน อีกสัญลักษณ์ที่สำคัญคือระนาด ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงดนตรี แต่เป็นแรงบันดาลใจ ความมุ่งมั่น และเอกลักษณ์ของชาติไทย หลวงประดิษฐไพเราะได้กล่าวไว้ว่าระนาดนั้น เป็น"อาวุธแห่งกวี ดนตรีแห่งแผ่นดิน" ระนาดเป็นดนตรีหลักที่คนต่างชาติจากสมัยก่อน และ ณ ปัจจุบัน เห็นว่ามีความเป็นไทยมากที่สุด จากการกำเนินเรื่องของภาพยนตร์ ระนาดเป็นเครื่องดนตรีที่คนในยุคโบราณนับถือเป็นอย่างยิ่ง และเป็นผู้มีเกียรติอย่างสูง เนื่องจากว่าระนาดนั้นเป็นหน้าเป็นตาของทุกๆหมู่บ้านหรือจังหวัด และเป็นการนำสังคมให้เข้าหากันด้วยการแข่งขันเล่นดนตรี ภาพยนตร์นี้ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ถ้าสังคมจะพัฒนาในด้านใดๆก็ตาม วัฒนธรรมต้องเป็นตัวตั้งตัวยืน และความคิดผู้อื่นเป็นการเจริญเติบโต

อีกอย่างที่น่าประถับใจในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือการจัดฉากระหว่างในวัยเยาว์หรือวัยชราของนายศร ตอนย้อนยุคไปในอดีต เนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะอยู่ในสถานที่อยู่ในชนบท เช่นบ้านเกิดของศร ซึ่งมาจากอัมพวา สภาพแวดล้อมของอัมพวาจะเต็มไปด้วยป่าวัดและเรือนไทยโบราณ ส่วนชาวบ้านทุกๆคนต่างทำหน้าที่ เช่น จับปลา ซ้อมดนตรี หรือขายของ ส่วนเมืองบางกอกนั้น ซึ่งเป็นเมืองที่นายศรได้เดินทางไปแข่งขันตีระนาด ได้เริ่มมีการพัฒนาจากวัฒนธรรมต่างชาติเช่นเครื่องเล่นแผ่นเสียง แต่ยังมีความดั้งเดิมในการเดินทางหรือการใช้ชีวิต ซึ่งเต็มไปด้วยตลาดและงานการคล้ายคนในชนบท ส่วนยุคสงครามตอนนายศรแก่แล้ว สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากทุกๆคนที่นุ่งโจงกระเบน คนในเมืองแต่งตัวสากล และดื่มสุราต่างประเทศ มีนายทหารคนหนึ่งได้ดูถูกแป้งสาโท ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของเหล้าไทย ให้คนฟังเพื่อเป็นการเยาะเย้ยความเป็นไทยหรือความเป็นคนล้าสมัย การเดินทางจากเดินและเกวียน กลายเป็นรถยนตร์หรือจักรยานยนตร์ และอย่างที่ได้กล่าวก่อนหน้านี้ ทุกๆร้านอาหารเต็มไปด้วยดนตรีสากลหรือเครื่องเล่นแผ่นเสียง ซึ่งต่างจากฉากโบราณที่เต็มไปด้วยวงดนตรีไทย การที่ผู้กำกับได้สร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้ผู้ชมได้สัมพัสถึงความเปลี่ยนแปลงทั้งแง่คุณภาพสังคมและคุณภาพของจิตใจคนในแต่ละยุค จากสังคมที่ร่วมมือกันรักษาระเบียบวินัยของความเป็นไทย ไปจบในสังคมที่ยกย่องวัฒนธรรมต่างชาติ และปนเปื้อนทับคุณสมบัติของความเป็นไทยจนเริ่มจางหาย

สรุป ภาพยนตร์เรื่องโหมโรงของคุณอิธิสุนทร วิชัยลักษณ์ ได้เป็นคติสอนใจผู้ใหญ่และเยาวชนทุกๆคนให้ปลุกจิตสำนึกความเป็นไทย และให้อนุรักษ์วัฒนธรรมเพื่อที่จะได้รักษารากเหง้าของประเทศไทย ซึ่งเป็นรากที่ยังทำให้ประเทศไทยนั้นสามารถมีความเป็นเอกลักษณ์และความแตกต่างจากสังคมอื่นในโลกนี้ นอกจากแก่นเรื่องที่ดี ตัวภาพยนตร์นั้นมีเนื้อเรื่องที่ตื่นเต้นตลอดจนถึงตอนจบ และ ได้ใช้ดนตรีเคียงข้างกับชนิดของสภาพแวดล้อม ซึ่งได้สร้างบรรยากาศที่งดงามให้ผู้ชมได้เห็นและสัมพัส การเลือกตัวละครเป็นอันที่เหมาะสม และทุกตัวละครในเรื่องได้แสดงถึงบุคลิกภาพของคนไทยในอดีตได้อย่างแม่นและระเอียด ความสำเร็จของภาพยนตร์นี้ไม่ได้เพียงแสดงถึงภาพพจน์สังคมไทยโบราณที่แสนสง่างาม แต่ได้สร้างภาพใหม่สำหรับดนตรีไทย ความเป็นไทย และความน่าประทับใจสำหรับวิรบุรุษไทย

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รักเราทำไมอ่ะ

ผมไม่เคยอยากปล่อยเธอไป แต่สุดท้าย เธอก็หนีพ้นรอดไปจากชีวิตผมจนได้ ทุกคนรอบข้างผมมักเตือนผมอยู่เสมอว่า สักวันหนึ่งเธอก็ต้องหายไป แต่ที่แท้จริง พวกเขาเอง ก็อยากเก็บเธอเป็นของตัวเองเช่นเดียวกับผม มันผ่านมาแล้วเกือบเดือน และผมหวังว่าผมจะได้พบเจอเธออีกมาตลอด และหวังว่าครั้งนี้ เธอจะไม่ทำให้ผมเสียใจอีก ตราบใดที่เธออยู่รอบข้างผม ผมรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น เธอเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถเติมชีวิตผมให้เต็มได้ แต่ความเป็นจริง เธอก็เปรียบเสมือนความรักที่ลอกลวงชีวิตผมมาตลอด

ครั้งแรกที่ผมพบเธอ ผมเพิ่งได้เริ่มทำงานครบหนึ่งเดือนที่ทำงานผม เธอก็ดูเหมือนคนทั่วๆไป ไม่แตกต่างหรือโดดเด่นไปกว่าเจ๊ที่ขายก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยผม ตั้งแต่วันแรกที่เราสบตากัน เราสองคนได้รู้จักกันทันที และเราสองคนก็สนิทสนมกันมาก จากวันนั้นมา เธอตามผมไปทุกที่ เช่น ร้านอาหาร ตลาดนัด และบางครั้งก็ที่ห้างสรรพสินค้าต่างๆ แต่ผมไม่เคยปฏิเสธเธอ และผมก็ต้อนรับเธอทุกครั้งที่ได้พบกัน ผ่านไปสองถึงสามเดือน ผมค่อยๆเริ่มเข้าใจว่า ผมยิ่งเจอเธอติดๆกันเมื่อไหร่ เธอจะค่อยๆหายไปเป็นพักยาวหลังจากช่วงนั้น แต่ตอนนั้น ผมก็ไม่ค่อยได้คิดอะไร เพราะตอนนั้น เธอก็เป็นแค่เพื่อนที่ผมรู้จัก ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่านั้น

พอผมกับเธอได้รู้จักกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเธอก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตลอดเวลาที่ผมทำงาน ผมได้นึกถึงเธอตลอด เธอเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่มาก และเธอเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมก้าวหน้าไปกับทั้งชีวิตและการงาน เพราะทุกวันหลังผมกลับบ้าน ผมบอกตัวเองอยู่เสมอว่า คนอย่างเธอคงเหมาะสมกับผู้ชายที่ขยัน ช่วงนั้นของชีวิตผม ผมขาดการติดต่อจากเพื่อน พ่อแม่ และญาติๆทั้งหลาย ผมรู้สึกว่าผมหลงเธอมาก และผมอยากให้เวลากับเธอให้มากที่สุด หลังจากที่เราได้รู้จักกันครบหนึ่งปี ผมได้เลื่อนตำแหน่ง ทุกอย่างมันดีขึ้น วันนั้นเป็นวันศุกร์ที่ ๓๑ ผมพาเธอไปดูเสื้อผ้า เธอเลือกไปหลายชุดและหลายสี เช่น สีเขียว สีฟ้า สีแดง สีม่วง และสีเทา หลังจากที่เราได้ไปเที่ยวกัน เธอก็เริ่มหายไปเป็นพักยาวๆ และผมก็กวิตกกัลวนมาก ทั้งเดือนนั้น ผมได้เจอเธออยู่ไม่กี่ครั้ง และแต่ละครั้งที่เราได้พบเจอกัน ผมจะเป็นฝ่ายไปหาเธอ แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังรักเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับผม

ความสัมพันธ์ของเธอกับผม ก็เป็นตามนั้นเป็นระยะเวลาหนึ่งปี ผมเจอเธอไม่กี่ครั้ง เธอก็หายไปเป็นช่วงๆ การงานผมก็ไม่ได้พัฒนาสักเท่าไหร่ จนหัวหน้าตัดสินใจย้ายผมไปอยู่ชั้งล่าง ที่ๆผมได้ทำงานครั้งแรก แต่อย่างไรก็ตาม ใจผมก็ไม่ได้อยู่กับงาน ผมมัวแต่นึกถึงเธอ หวังว่าผมจะได้เจอเธอบ่อยขึ้น เพราะ ณ เวลานั้น เธอยังเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้ผมยิ้มได้อยู่คนเดียว จากที่ได้เจอกันบ่อยๆ ผมเริ่มรู้สึกว่าผมได้เสียเธอไปแล้ว ผมพาเธอไปไหนที่ไรก็มีคนทำท่าจับตามองเธอ และเธอก็ใช้สายตาเธอบอกคนอื่นว่าเธอไม่ได้ปฏิเสธพวกเขา เป็นสายตาเดียวกับที่เธอใช้กับผม ช่วงนั้นชีวิตผมได้ล่มจม เพื่อนๆ พ่อแม่ และ ญาติๆ ได้โทรมาหาผม พยายามปลอบใจ และอธิบายให้ผมฟังว่าเธอไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ถ้าจะเอาเธอคนนี้มาเปรียบเถียบกับคนรอบข้างทุกคน เธอไร้ค่ามากที่สุด เพราะเธอไม่สามารถทำให้ผมมีความสุขอย่างแท้จริงได้ ไม่เหมือนกับคนที่รักเราด้วยจิตใจ เพราะสุดท้าย เธอก็เต็มไปด้วยความจริงจัง ไม่ได้มีความจริงใจ

สุดท้ายชายคนนี้ได้เข้าใจว่าเธอคนนี้ ไม่ได้มีค่าอย่างที่เขาคิด หรืออย่างที่คนทั่วๆไปคิด ผมหวังว่าประสบการณ์ครั้งนี้ของเขาจะตักเตือนให้ทุกคนได้จดจำไว้ว่า บางอย่างในชีวิตเรามันเต็มไปด้วยความสวยงามที่เต็มไปด้วยความหลอกลวง และคนเราควรดูดีๆ ว่าอะไรกันแน่ที่มีความหมายกับชีวิตของเรา ความรักและความอบอุ่นมันเกิดจากความรักและความอบอุ่นจากคนที่เรารักและคนที่รักเรา ความเป็นจริงแล้ว เธอคนนี้คือเงินทอง คนเราชอบมองว่าเงินเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด แต่เงินที่คนเรามีไม่สามารถซื้อได้ทุกอย่าง เพราะบางอย่างในโลกนี้ ไม่ได้มีป้ายราคาให้เราซื้อได้ เช่น เวลา หรือความรักที่แท้จริง คนเราควรใช้เวลากับคนที่เรารักและสิ่งที่เรารักให้มากที่สุด เพราะต่างจากเงินทอง เวลามันมีขีดจำกัด 

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โลกผมหรือคุณ...หรือเครื่องซักผ้า

วันอาทิตย์ที่ ๔ กันยายน พ.. ๒๕๕๔ น้ำท่วมที่จังหวัดอยุธยา ชาวบ้านกว่าสองแสนคนถูกอพยพไปจังหวัดอื่นๆรอบๆ และประสบความเดือดร้อนอย่างมาก ส่วนชาวบ้านที่ติดอยู่ ขาดน้ำขาดไฟ ณ บัดนี้ ลพบุรี และ พิจิตน้ำขึ้นสูง และต้องอพยพคนรวมทั้งหมด 1.2 ล้านคน รัฐบาลจัดงบประมาณไว้หนึ่งมื่นล้านเพื่อชดเชยความเสียหาย ปัญหาที่น้ำท่วมหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆปี เป็นเพราะว่าคนจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถหาเงินด้วยความสามารถของตนเอง พึ่งพาต้นไม้เป็นการหาสตังค์ สำหรับผม ผมอยากหาวิธีกำจัดพวกลักลอบตัดต้นไม้ แทนที่จะไปช่วยปลูกป่า ถ้าทางราชการลงมือจับอย่างจริงจัง ปัญหาจากภัยธรรมชาติคงไม่สาหัสขนาดนี้หรอกครับ

วันศุกร์ที่ ๑๖ กันยายน พ.. ๒๕๕๔ ได้เกิดเหตุระเบิดสามครั้งในจังหวัดนราธิวาส ในเขตเทศบาลสุไหงโกลก แรงระเบิดนั้นส่งผลทำให้ร้านค้าต่างๆพังลงมาและติดเพลิงไหม้ และกระจกรอบๆบริเวณแตกกระจายหมด มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด ๓ ราย บาดเจ็บกว่า ๖๐ และบาดเจ็บสาหัส ๓ ราย เขตสุไหงโกลกนั้นเป็นเขตท่องเที่ยวของคนต่างชาติที่เที่ยวทางใต้ของประเทศเรา การที่ผู้ก่อการร้ายครั้งนี้ได้ลงมือก่อความวุ่นวาย ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวทั่วบริเวณจังหวัดนราธิวาส ในเมื่อผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ มีเป้าหมายที่จะชึดสามจังหวัดชายแดนของเรา คุณคิดว่ามันผิดไหมที่ประเทศเราจะทำตัวเด็ดขาด และใช้กำลังโต้กลับในการ

วันอาทิตย์ที่ ๒๔ กันยายน พ..๒๕๕๔ องค์กรบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ (นาซา) ได้ยืนยันดาวเทียมยูเออาร์เอสตกสู่โลกแล้ว และมีรายงานหลายกระแสทางทวิตเตอร์ว่า มีผู้พบเห็นเศษชิ้นส่วนซึ่งคาดว่าจะเป็นของดาวเทียมดวงนี้ตกที่เมืองโอโคตอกส์ ทางใต้ของเมืองคัลการี ทางตะวันตกของแคนาดา แต่นาซายังไม่ยืนยันรายงานดังกล่าว ตอนผมกับครอบครัวทราบเข้าก็แตกตื่นกันหมด เพราะมีกระแสว่ามันอาจตกลงที่ใดก็ได้ในโลก แต่สุดท้าย นักวิเคราะห์ของนาซาออกมาบอกว่ามีโอกาศถูกลอตเตอรี่แสนเท่ามากกว่าที่จะมีดาวเทียมตกมาถับตาย หลังจากนั้น ต่างคนต่างออกไปซื้อลอตเตอรี่สะงั้น

วันพุทธที่ ๒๘ กันยายน พ.. ๒๕๕๔ เด็กนักเรียนจาก Sacred Heart School .เขียงใหม่ได้แต่งชุดนาซีเดินขบวนเมื่อตอนเช้า เหตุผลที่แต่งเป็นเพราะสีกิฬาสีของเด็กกลุ่มนี้เป็นสีแดง จึงนำชุดของทหารนาซีมาใส่และยังจะทำท่าเคารพฮิทเลอร์ (Sieg Heil)แต่งกันจนผมงงเลยว่าพวกเขาหาชุดมาได้อย่างไร ภายในไม่กี่ชั่วโมง ข่าวกระจายไปทั่วโลก จนสมาคม สิทธิมนุษยชน ของชาวยิวออกมาฟ้องร้อง มีคนมาออกข่าวว่า การแสดงความเคารพต่อพวกนาซีเป็นการทำร้ายจิตใจของพวกที่ใช้ชีวิตในยุคของฮิตเลอร์ โดยเฉพาะนักโทษทั้งหลายที่ศุนย์เสียทุกอย่างจากสงคราม โดนโลกประจานขนาดนี้ ผมรู้สึกว่านี้คืออีกหนึ่งเหตุผลที่เราควรปรับปรุงการศึกษาของประเทศเราอย่างรวดเร็ว เพราะมันไม่ได้เพียงกระทบมุมมองของพวกเรา แต่มันทำให้ประเทศอื่นดูถูกพวกเราทั่วโลก

คุณเห็นไหมปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก เรากำลังใช้ชีวิตในยุคของเทคโนโลยี ไม่ใช่ยุคของมนุษย์ จะเกิดอะไรขึ้นก็ตามบนโลกนี้ เราสามารถรับรู้ภายในไม่กี่นาที นี้คือยุคที่ธรรมชาติจะถูกทำลาย แต่จะเป็นอย่างไรก็ตาม ธรรมชาติจะชนะ ธรรมชาติจะแก้แค้น สุดท้ายทุกสิ่งที่มนุษย์หรือธรรมชาติสร้างไว้ก็ต้องตกลงมาอยู่กับดิน ต้นไม้ทุกต้น ดาวเทียมทุกจาน มันมีอายุของมัน ในเมื่อนาฬิกาของชีวิตคนเราไม่สามารถหยุดเดินได้ ทำไมคนเราไม่มุ่งหน้ายื้อเวลาให้มากที่สุด เพื่อที่จะใช้ชีวิตบนโลกนี้อย่างมีความสุขก่อนที่มันจะหยุดเดิน ผมขอสรุปค้อคิดนี้ด้วยคำพูดของไอแซก นิวตัน "What goes up must come down.”

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Wine Stu: รักไวน์เท่าคุณ

ถ้าท่านมีใจรักในการดื่มไวน์ ผมยินดีเสนอร้าน "Wine Stu” ร้านนี้มีบรรยากาศที่เข้ากับอารมณ์ของอาหารทุกจาน และที่สำคัญที่สุด มีไวน์คุณภาพดี ร้าน ไวน์สตู จะอยู่ติดกับสนามฟุตบอลหญ้าเทียมและโรงแรมแสนหรู ร้านนี้จึงเป็นจุดที่คนแถวนั้นนิยมมานั่งพักผ่อน ผ่อนคลายกันอย่างมาก เรามาเริ่มที่บรรยสกาศของร้านกันดีกว่าครับ

พอท่านได้เข้ามาในร้าน จะเจอผนังที่ถูกตกแต่งเต็มไปด้วยตู้ไวน์แสนอลังการ ด้านบนของอาคารจะมีโคมไฟสไตล์กอธิคๆ(gothic) เหมือนในเรื่องเค้า์แดรกคูลา ส่วนพื้นนั้นเป็นพื้นปูนซีเมนต์ขัดมันผสมสี ซึ่งสร้างความรูสึก ราบรึ่นและ เรียบๆ ตัวร้านมีตีมอ่อนหวาน ซึ่งจะมาจากลวดลายดอกไม้ตรงผนัง แต่ก็มีความเท่ห์จากการฟิวชั่นสีขรึมๆ เช่น สีดำ ถึงแม้ว่าร้านจะรองรับได้เพียง 12-14 คน แต่ทางร้านสามารถจัดให้ลูกค้ารู้สึกอบอุ่นพร้อมกับความโรแมนติกจากเฟอร์นิเจอร์สวยๆที่สบายมาก ขอบอกว่าการออกแบบและการดีไซน์ของร้านสามารถดึงดูดลูกค้าได้ดีมากเลยครับ ส่วนอุณหภูมินั่นจะเย็นฉ่ำมากเพราะทางร้านต้องการรักษาสุขภาพและคุณภาพของไวน์ให้ดีที่สุดสำหรับท่าน

ทีนี้เรามาเริ่มคุยถึงเรื่องไวน์กันดีกว่า คนที่ดื่มไวน์ไม่ค่อยเก่งมาก ทางร้านจะแนะนำสปาร์คลิ่งไวน์ (Sparkling wine) ท่านอาจสงสัยว่าสปาร์คลิ่งไวน์คืออะไร มันก็ตือไวน์ชนิดอัดก๊าซลงไป เพื่อช่วยให้ไวน์ออกรสซ่าๆ และสดชื่น มีอยู่วิธีหนึ่งในการดูคุณภาพของไวน์ที่คนเคยสอนผมมา พอท่านได้รินไวน์ใส่แก้วเสร็จแล้ว ท่านจะเห็นพรายฟองของไวน์ค่อยๆผลุขึ้นมา ถ้าฟองจากไวน์เป็นฟองเล็กๆและพลุในระยะเวลายาวนาน ไวน์ที่ท่านดื่มเป็นไวน์คุณภาพดี ส่วนไวน์ที่พลุเป็นฟอง โตๆและในระยะเวลาสั้นๆ ไวน์นั้นจะเป็นไวน์ราคาถูกจากการอัดก๊าซไม่กี่ปี

สปารคลิ่งไวน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็ตือแชมเปญ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่คนไทยมักจะรู้จักอย่างดีเช่นเดียวกัน แชมเปญนั่นเป็นเครื่องดื่มที่ขายดีมากในร้าน ไวน์สตู เพราะร้านเขามีแชมเปญหลากหลายชนิดที่คนเขานิยมดื่มกัน เช่น “Moet & Chandon” หรือ “Pol Roger” สำหรับความรู้รอบตัว พรายฟองของแชมเปญนั้นไม่ได้มาจากก๊าซอัด แต่มาจากการหมักบ่มของตัวแชมเปญนั่นเอง ส่วนพวกที่มีใจคอสำหรับไวน์นั่น ทางร้านก็จะมีไวน์ที่พวกท่านคงคุ้นเคย เช่น "Romanee conti” หรือ " Chateau Margaux” ไวน์เหล่านี้จะไว้เฉพาะคนที่ดื่มไวน์เป็น เพราะต่างจากสปาร์คลิ่งไวน์ ไวน์แท้จะขมกว่าและมีความเข้มข้นมาก ท่านอาจเสีย appetizer ได้ทันที แต่ไม่ต้องห่วงนะครับถ้าท่านไม่ชอบเครื่องดื่มเหล่านี้ เพราะทางร้านจะมีน้ำผลไม้ด้วย

ตอนนี้เราจะมาพูดถึงอาหารทานเล่นเพื่อการแก้มไวน์ จานแรกที่ผมแนะนำก็คือ"Cheese Platter” (ชีสรวมจานนี้จะมีอยู่สามองค์ประกอบชีส ขนมปังแครกเกอร์ และองุ่นแดง ชีสที่คนฝรั่งเศสนิยมมากที่สุดในการรับประทานกับไวน์คือ บรี(Brie) และ บลูชีส (Blue Cheese) บรีจะมีกลิ่นหอมจากนม และจะคล้ายกับชีสที่ท่านอาจคุ้นเคยเช่น เช็ดด้า สด หรือ มอสซาเรลล่า ซึ่งมีความหอมมันส์มากๆ ส่วนบลูชีสนั่นเป็นชีสที่คลาสสิคที่สุดและมีราคาสูง คนไทยมักจะคิดว่าชีสนี้บูดเพราะกลิ่มมันแรงมาก ชีสชนิดนี้จะมีจุดเขียวๆ ซึ่งเป็นเชื้อรา แต่ท่านไม่ต้องห่วงเพราะเชื้อร่านี้กินได้และเป็นยาที่เรียกว่า (Penicillin) ส่วนแครกเกอร์และองุ่นแดงนั้น จะทำให้ชีสออกรสหวานซึ่งจะทำให้ไวน์มีรสชาติกลมกล่อม

จานที่สองคือพาร์ม่าแฮมกับแคนตาลูป ซึ่งเป็นจานที่คนยุโรปจะคุ้นเคยเป็นอย่างมากและถือว่าเป็นจานที่ประเทศเขาได้อนุรักษ์และสืบทอดมาหลายร้อยปี ท่านอาจคุ้นเคยกับการรับประทานพาร์ม่าแฮมกับพิซซ่าหรือแซนวิช แต่การที่จะมารับประทานคู่กับแคนตาลูปจะช่วยให้กลิ่นไวน์ในปากหอมไปจากหัวจรดเท้า เมื่อได้ใส่ปากพร้อมๆกัน มันจะออกรสเข็มๆอมหวานพร้อมรสเปรี้ยวๆจากแตงกวาดองที่ร้านจะจัดมาให้ ขอบอกว่าถ้าไปยุโรปแล้วไม่รู้จักจานนี้ เขาจะนอนหัวเราะกันบ้าบอคอแตกกันทีเดียวเลยครับ ต้องมารองไม่อย่างนั้นไม่รู้คุณสมบัติของมัน

สรุปแล้วผมอยากเชิญให้ท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะคนที่รักการดื่มไวน์มารอง “Wine Stu” กันนะครับ บรรยากาศดี อาจหนาวแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น อาหารสมราคา และส่วนไวน์ก็เชิญเปิดตามใจรสนิยมของท่านครับ ร้านจะอยู่บน ถนนพัฒนาการ ใกล้สำนักงานเขตสวนหลวง ในโครงการ Patio พัฒนาการ เปิด 11.00-24.00 และเบอร์โทรร้าน: 086-793-9219

ติดตามร้านอาหารต่อไปสัปดาห์หน้าครับ